หลวงพ่อเงินชื่อเดิมของท่านชื่อเงินในสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุลท่านเกิดเมื่อวันที่๑๖กันยายนพ.ศ๒๓๕๓ตรงกับวันศุกร์เดือน๑๐ปีฉลูบิดาของหลวงพ่อเงินชื่ออู๋ซึ่งเป็นชาวบ้านบางคลานมารดาชื่อฟักเป็นชาวบ้านแสนตออำเภอแสนตอ(ปัจจุบันเป็นอำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี) จังหวัดกำแพงเพชร
เมื่อเอ่ยชื่อถึง หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ไม่มีใครในจังหวัดพิจิตรที่ไม่รู้จักท่านเพราะหลวงพ่อเงินเป็นเกจิอาจารย์ที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์
และเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่ว ๆ
ไปในบรรดาเกจิอาจารย์ด้วยกันแล้วเห็นจะไม่มีหลวงพ่อองค์ใดที่จะดังไปกว่าหลวงพ่อเงิน
ถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๒ ชื่อของท่านยังฝังแน่นอยู่ในความจำของบุคคลทุกชนชั้น
หลวงพ่อเงินชื่อเดิมของท่านชื่อ เงินในสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.
๒๓๕๓ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาของหลวงพ่อเงินชื่อ อู๋ซึ่งเป็นชาวบ้านบางคลาน มารดาชื่อ ฟักเป็นชาวบ้านแสนตอ
อำเภอแสนตอ(ปัจจุบันเป็นอำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี) จังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อเงิน
มีพี่น้องร่วมสาย
โลหิตทั้งหมด ๖ คน ดังนี้
คนที่ ๑ ชื่อ พรม(ชาย)
คนที่ ๒ ชื่อ ทับ(หญิง)
คนที่ ๓ ชื่อ ทอง(ขุนภุมรา) (ชาย)
คนที่ ๔ ชื่อ เงิน(หลวงพ่อเงิน)
คนที่ ๕ ชื่อ หลํ่า(ชาย)
คนที่ ๖ ชื่อ รอด(หญิง)
ในปี พ.ศ. ๒๓๕๖ ขณะนั้นหลวงพ่อเงินอายุได้
๓ ขวบ นายช่วงซึ่งเป็นลุงของท่านได้พาหลวงพ่อเงิน
ไปอยู่กรุงเทพฯด้วยนายช่วงได้อุปการะเลี้ยงดูหลวงพ่อเงินจนกระทั่งเติบโตมีอายุจะเข้าศึกษาเล่าเรียนได้จึงได้นำหลวงพ่อไปฝากไว้ที่วัดตองปุ
(วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร หลังจากนั้นท่านก็ได้เรียนหนังสือที่วัดชนะสงคราม
ตลอดมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๖๕ ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรขณะนั้นอายุได้ ๑๒ ปี
หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ศึกษาธรรมวินัยและเวทมนต์คาถาอาคมต่าง ๆ
จนถึงขั้นแตกฉาน พออายุใกล้จะอุปสมบทได้ท่านก็สึกจากสามเณรเป็นฆราวาส
หลังจากที่ท่านได้สึกจากสามเณรแล้ว
ก็มาอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ ต่อมาท่านได้มีคู่รักคนหนึ่ง ชื่อ เงินเหมือนกันกับท่าน
สมัยก่อนนั้นหนุ่มสาวรักกันจะหาโอกาสพบกันได้ยากมากจะได้พบกันก็เนื่องจาก
วันพระไปทำบุญตักบาตรเท่านั้น และวันหนึ่งจะด้วยเหตุดลใจอะไรไม่มีใครรู้ได้
ท่านได้คุยกับพี่สะใภ้ถึงเรื่องการแต่งงาน
พี่สะใภ้ก็พูดล้อเล่นว่าอย่าแต่งงานเลยบวชดีกว่า เมื่อได้ยินพี่สะใภ้พูดอย่างนั้น
ท่านจึงขอโทษพี่สะใภ้ ขอจับนม พี่สะใภ้ก็ให้จับแต่โดยดี เมื่อหลวงพ่อเงินจับนมพี่สะใภ้แล้ว
ก็เอามือมาบีบน่องของตนเองแล้วก็อุทานว่า นม กับ น่องก็เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เอง
ทำให้หลวงพ่อเงินตัดสินใจบวชไม่สึกเลยจนกระทั่งมรณภาพเมื่ออายุครบปีบวชท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ที่วัดตองปุ(วัดชนะสงคราม) และได้จำพรรษาอยู่ณ วัดนี้
ในระหว่างอุปสมบทได้ปฏิบัติธรรมวินัยและรํ่าเรียนทางวิปัสสนาอยู่ได้ ๓
พรรษาหลังจาก ท่านอุปสมบทคู่รักท่านได้ปักตาลปัตรมาถวายท่าน ๑
อันต่อมาปู่ของท่านป่วยหนัก ทางบ้านจึงให้พี่ชายชื่อทองไปนิมนต์หลวงพ่อเงินให้มาจำพรรษาที่วัดคงคาราม(วัดบางคลานใต้)
หลวงพ่ออยู่วัดนี้ได้ ๑ พรรษา เนื่องจากวัดนี้ มีหลวงพ่ออุปัชฌาย์โห้เป็นเจ้าอาวาส
ท่านเป็นพระที่เรืองวิชาเหมือนกันชอบเล่นแร่แปรธาตุ
นอกจากนี้หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านยังชอบเทศน์ชาดก(แหล่เป็นทำนอง)
การซ้อมแหล่ของหลวงพ่ออุปัชฌาย์โห้เสียงดัง หลวงพ่อเงินคงจะไม่พอใจ
เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งทางธรรมวินัย และวิปัสสนา
ชอบแต่ความสงบเพื่อผลทางวิปัสสนากรรมฐาน
ท่านจึงได้ย้ายวัดจากวัดคงคารามไปอยู่ที่หมู่บ้าน วังตะโก
ลึกเข้าไปทางลำนํ้าน่านเก่าห่างจากวัดคงคารามคนละฝั่งแม่นํ้ายม
วัดวังตะโกเมื่อออกจากวัดคงคารามแล้ว
หลวงพ่อก็มาปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก อยู่ที่หมู่บ้าน วังตะโก
หลวงพ่อเคยพูดว่า ชาติเสือไม่ต้องขอเนื้อใครกินก่อนที่หลวงพ่อจะออกจากวัดคงคารามได้นำกิ่งโพธิ์จากวัดมาด้วย๑ กิ่ง
มาปักไว้ที่หน้าตลิ่ง(ตรงกับที่หน้าพระอุโบสถ) พร้อมกันนั้นหลวงพ่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
ถ้าจะเจริญรุ่งเรืองขอให้ต้นโพธิ์นี้เจริญงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่
กาลต่อมาปรากฏว่าต้นโพธิ์ของท่านได้เจริญงอกงาม
สมดังคำอธิษฐานนับตั้งแต่นั้นตลอดมาวัดวังตะโกหรือวัดหิรัญญารามก็เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ
มีการสร้างกุฏิด้วยไม้สักหลังคามุงด้วยกระเบื้อง หลายหลัง
มีศาลาวิหารและพระอุโบสถชื่อเสียงของหลวงพ่อได้ขจรไปทั่วทุกทิศานุทิศ
มีประชาชนเคารพนับถือท่านมาก มีคนมาหาท่านมิได้ขาดเพื่อถวายตัวเป็นลูกศิษย์
เพื่อขอเครื่องรางของขลัง เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เพื่ออาบนํ้ามนต์ มีเรื่องเล่าว่านํ้ามนต์ของท่านที่ประชาชนอาบไหลลงสู่แม่นํ้าไม่ขาดสายต่อมาหลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
และได้รับสมณศักดิ์ให้เป็นท่านเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนาจารย์
ลักษณะเด่นประจำตัวของหลวงพ่อตามปกติหลวงพ่อจะออกมานั่งรับแขกที่หน้ากุฏิมิได้เบื่อหน่าย
การนั่งที่ท่านชอบมากที่สุดคือ นั่งขัดสมาธิ เข่าด้านซ้ายจะยกขึ้นนิดหน่อย
ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยกับแขกมักจะถือบุหรี่ตลอดเวลา แต่ถ้านั่งทำนํ้ามนต์
หลวงพ่อจะเอาบุหรี่คีบไว้ที่ง่ามเท้าขวาตลอดเวลา
ถ้าบุหรี่ดับก็หยิบขึ้นมาจุดสูบใหม่ นี่คือลักษณะพิเศษของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
หลวงพ่อเงินรักษาโรคหลวงพ่อเงินนอกจากท่านจะเป็นพระที่เรืองวิชาแล้ว
ท่านยังมีสติปัญญาที่จัดอยู่ในขั้นอัจฉริยะ อีกด้วย
เพราะท่านเป็นหมอโบราณที่เก่งกาจ
สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ประชาชนที่มารับการรักษา วิธีการรักษา
ของท่านก็ใช้นํ้ามนต์ และบางทีก็ใช้สมุนไพร สำหรับสมุนไพรนั้นท่านจะจัดให้ไปต้มกิน
ในไม่ช้าโรคที่เป็นก็จะหายป่วย
ขณะนี้ตำรายาของหลวงพ่อเงินยังอยู่ที่วัดบางคลานเป็นสมุดข่อย
ซึ่งทางวัดเก็บรักษาไว้อย่างดี ท่านผู้สนใจไปขอดูได้จากเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
หลวงพ่อเงินกับเจ้านายทางกรุงเทพฯด้วยความเชื่อถือของ
ประชาชนโดยทั่วไปนี้เอง
ทำให้ชื่อเสียงของท่านลือกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศได้มีเจ้านายทางกรุงเทพฯ
ขึ้นมาหาท่านและขอเล่าเรียนวิชาจากท่านในสมัยนั้นมีหลายองค์ที่จำได้ก็มี
สมเด็จมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาอยู่ที่วัดบางคลานหลายวัน
เข้าใจว่าจะมาเรียนวิปัสสนากรรมฐานนอกจากนี้ยังมีผู้เล่าว่ากรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ในสมัยนั้นยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นอยู่ได้เสด็จมาที่วัดบางคลานเพื่อเล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อด้วย
รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ มีดังนี้
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ท่านกำลังแสวงหาความรู้เกี่ยวกับทางด้านไสยศาสตร์
ขณะนั้น เป็นศิษย์ของหลวงพ่อศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่าและได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบสิ้นกรมหลวงชุมพรฯ
จึงได้ถามหลวงพ่อศุขว่า นอกจากพระคุณท่านแล้ว
ยังมีพระอาจารย์องค์ใดที่มีความรู้เก่งกล้าเหนือกว่าพระคุณท่าน หรือพอ ๆ
กับพระคุณท่าน หลวงพ่อสุขจึงได้ทูลไปว่านอกจากท่านแล้วยังมีพระอีกรูปหนึ่ง
อยู่ที่อำเภอบางคลานจังหวัดพิจิตรซึ่งเป็นพระเถระที่ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระสูงรูปหนึ่ง
เป็นเพื่อนกันและเป็นศิษย์อยู่ในสำนักเดียวกัน แต่มีพรรษาแก่กว่า ชื่อหลวงพ่อเงิน
ถ้าหากกรมหลวงชุมพร มีความประสงค์จะไปศึกษาเล่าเรียนและฝากตัวเป็นลูกศิษย์
ก็จะมีหนังสือฝากตัวไปให้ เมื่อได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว กรมหลวงชุมพรฯ
จึงได้ออกเดินทางพร้อมด้วยทหารและมหาดเล็กคนสนิท โดยทางเรือมายังวัดบางคลาน
เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จมาถึงวัดปรากฏว่า หลวงพ่อเงินไม่อยู่
ได้รับคำบอกเล่าจากพระที่วัดว่า หลวงพ่อท่านสั่งไว้ว่าจะไปจำพรรษาที่วัดท้ายนํ้า
ด้วยเชาว์ปัญญาของกรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ทำเป็นเสด็จกลับ
พอตกตอนเย็นก็ได้เสด็จย้อนกลับมาที่วัดอีก พอพลบคํ่าพอดี
เมื่อเสด็จมาถึงวัดก็พบหลวงพ่อเงิน ซึ่งยืนรอรับเสด็จอยู่แล้ว
หลวงพ่อเงินหัวเราะชอบใจ และชอบในเชาว์ปัญญาของ กรมหลวงชุมพรฯ
พระองค์ท่านได้อยู่เล่าเรียนกับหลวงพ่อเงินประมาณ ๒๐ วัน
ในระหว่างที่ทรงศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้น ท่านไม่ค่อยได้ออกมารับแขกบ่อยนัก
พอถึงเวลาก็เรียนวิปัสสนา ท่านต้องเคร่งมากเพราะต้อง ควบคุมสติตลอดเวลา
นั่งวิปัสสนาขนาดเทียนหนัก ๒ บาท จะต้องรอให้เทียนหมดเล่มก่อน
ซึ่งก็ใช้เวลาตั้งแต่หัวคํ่า บางคืนก็ถึงสว่าง(จากคำบอกเล่าของนายตุ๊ โตสุวรรณ)
ซึ่งเป็นผู้ที่รู้เรื่องการนั่งวิปัสสนาของหลวงพ่อเป็นอย่างดี เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ
ได้ศึกษาเล่าเรียนจบแล้วก็ได้เสด็จกลับ
กาลอวสานแห่งชีวิตโรคประจำตัวของหลวงพ่อเงินคือ
โรคริดสีดวงทวาร ท่านรักษาตัวของท่านเองบางทีก็หายไปนานแล้ว
กลับมาเป็นอีกหลวงพ่อเคยบ่นว่าคนอื่นร้อยคนพันคนรักษาให้หายได้
แต่พอผงเข้าตาตนเองกับรักษาไม่ได้
ต่อจากนั้นไม่นานโรคเก่าของท่านก็กำเริบเป็นพิษมากขึ้นและแล้วกาลอวสานของหลวงพ่อก็มาถึง
เมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ คํ่า เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒
(ข้อสังเกตวันเกิดและวันมรณภาพของ ท่านเป็นวันเดียวกัน คือวันศุกร์)
รวมอายุของท่านได้ ๑๐๙ ปีการมรณภาพของหลวงพ่อทำความเศร้าโศกเสียใจให้แก่บรรดาศิษย์
และผู้ที่เคารพนับถือ อย่างมากบรรยากาศในวัดวังตะโกเงียบเหงา ซึมเศร้า ชาวพิจิตรได้สูญเสียเพชรเม็ดเอกไปเสียแล้ว
การอาบนํ้าศพในวันนั้น มีประชาชนหลั่งไหลไปเป็นจำนวนมากเพื่ออาบนํ้าศพของหลวงพ่อ
เหตุการณ์ในวันอาบนํ้าศพนั้นจะมีประชาชนเอาขันนํ้า ขวดนํ้า
ถังนํ้าไปรองรับนํ้าที่อาบศพอยู่ใต้ถุนศาลา เพื่อนำไปบูชาเพราะถือว่าเป็นของ
ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะแย่งนํ้าอาบศพแล้ว
ประชาชนต่างก็แย่งจีวรของหลวงพ่อออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เพื่อนำไปเป็นของคงกระพันชาตรี(สมัยนั้นหลวงพ่อเงินใช้จีวรแพรบาง ๆ)
เดี๋ยวนี้ผู้ที่มีจีวรของหลวงพ่ออยู่จะหวงแหนมากเพราะถือว่าเป็นของดีที่หาได้ยากมากอย่างหนึ่ง
การฌาปนกิจศพหลวงพ่อเงินคณะศิษยานุศิษย์และบรรดาญาติโยมทั้งหลายได้ทำการฌาปนกิจศพ
หลวงพ่อเงินเมื่อเดือน ๔ ปีวอก พ.ศ.๒๔๖๓
ก่อนที่จะทำการฌาปนกิจศพนั้นได้มีการขุดศพของหลวงพ่อเงินขึ้นมาเพื่อชำระล้างกระดูก
ในการขุดครั้งนั้น(กำนันขจร สอนขำ กำนันตำบลบางคลานเป็นผู้เล่าให้ผู้เขียนฟัง)
นายปลิ้ว ทองเผือก เป็นผู้ชำระล้างทำความสะอาดซากศพของหลวงพ่อ
นายปลิ้ว ทองเผือก จึงได้เก็บกระดูกหัวเข่า(ลูกสะบ้า) ของหลวงพ่อ
เข้าไว้เพราะถือว่า
อาจารย์ดีนั้นจะต้องดีทั้งตัวฉะนั้นกระดูกหลวงพ่อชิ้นนี้จึงไม่ได้เผา
ตกทอดเป็นสมบัติของ นายปลิ้ว ต่อมานายปลิ้ว มีญาติชื่อ นายหมอ ทองเผือก
จึงได้แบ่งกระดูกไปให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อนายหมอมีบุตร ก็ได้แบ่งให้บุตรอีก
บุตรของนายหมอ ทองเผือก เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๖ ตำบลบางคลาน ชื่อนายสนิท
ทองเผือก
ปัจจุบันกระดูกของหลวงพ่อส่วนนี้ได้ถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในตระกูลทองเผือกสำหรับกระดูกของหลวงพ่อที่เผาแล้วมีอยู่ที่กำนันตำบลบางคลาน
คือ กำนันขจร สอนขำท่านกำนันบอกว่า เป็นมรดกตกทอดมาจากย่าทวด
ซึ่งย่าทวดของกำนันได้เอากระดูกมาทำหัวแหวนแทนพลอยสีของกระดูกขาวนวล
เมื่อส่องดูด้วยกล้องจะเห็นเป็นขุยเด่นชัด ท่านกำนันเล่าว่าเมื่อได้มาใหม่ ๆ
ดมดูกลิ่นหอม เหมือนกระแจะจันทน์ ขณะนี้ดมดูก็ยังหอมอยู่
ความหอมของกระดูกนี้พอจะสันนิษฐานได้ว่า หลังจากฌาปนกิจศพตอนเก็บกระดูก
อาจจะถูกพรมด้วยนํ้าหอมก็ได้จึงมีกลิ่นหอมติดอยู่ปัจจุบันกระดูกชิ้นนี้สึกกร่อนไปบ้างทั้งนี้เนื่องจากมีผู้มาขอดูและขออนุญาตเอาขี้ผึ้งมาแตะที่กระดูกเมื่อแตะแล้วก็ถือว่าขึ้ผึ้งก้อนนี้เป็นของขลังบางคนก็มาขอเอามีดแกะไป
ต่อมาภายหลังกำนันไม่ยอมให้ใครดู
เก็บรักษาไว้อย่างดีในวันฌาปนกิจศพมีประชาชนไปร่วมงานเป็นจำนวนมากเพราะถือว่าหลวงพ่อเงินเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง
และเป็นมิ่งขวัญของขาวพิจิตรทุกคน
|